วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Competency (สมรรถนะ)


Competency   (สมรรถนะ)    หมายถึง ความรู้  ทักษะและพฤติกรรมที่บุคลากรขององค์กรต้องมี  เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน  การพัฒนาขีดสมรรถนะมีอยู่  2  ลักษณะ คือ

1) สมรรถนะหลัก (Core  Competency)  คือขีดความสามารถขององค์กร  ซึ่งเกิดจากวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์กร เช่น  การทำงานเป็นทีม  (Teamwork) การทำงานแบบมืออาชีพ (Professionalism)  การมุ่งเน้นผลงาน (Result Orientation)   การบริหารตนเอง(Self  Management)   การใส่ใจลูกค้า(Customer Focus)และภาวะผู้นำ (Leaderships) เป็นต้น

2) สมรรถนะทางวิชาการ (Technical Competency) คือความรู้  ทักษะ  และพฤติกรรม  ที่พนักงานต้องมีเพื่อนำมาใช้ปฏิบัติงาน เช่นความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์ (Product  Knowledge)  คุณภาพงานบริการ (Service  Quality) ทักษะการสื่อสาร  (Communication Skills) การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ (Problem  Solving  and  Decision Making) เป็นต้น

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Good Corporate (บรรษัทภิบาล)


Good  Corporate (บรรษัทภิบาล)
หมายถึง  ระบบที่จัดให้มีกระบวนการและโครงสร้างทางภาวะผู้นำและการควบคุมของกิจการ

  1. ให้มีความรับผิดชอบตามหน้าที่ด้วยความโปร่งใส  
  2. สร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อรักษาเงินลงทุน    
  3. เพิ่มคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว  
  4. ภายในกรอบการมีจริยธรรมที่ดี 
  5. คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียและสังคมโดยรวม 



BSC (Balanced Scorecard) กลุ่มตัวชี้วัดความสำเร็จแบบสมดุล2


1)      เป็นเครื่องมือทางด้านการจัดการที่ช่วย ในการนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ  (Strategic Implementation) โดยอาศัยการวัดหรือประเมิน(Measurement) ที่จะช่วยทำให้องค์กรเกิดความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร
                                    2)         การที่จะบริหารองค์การให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนจะต้องเข้าใจองค์การอย่างเป็นระบบ  รู้ว่าระบบภายในองค์การ  (Internal System)  มีระบบย่อยอะไรบ้าง ระบบภายนอก องค์การ (External System) มีระบบย่อยอะไรบ้าง  ต้องตอบสนอง ความต้องการของทั้งสองระบบย่อยให้ครบถ้วน

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

งบการเงิน


 ประเภทของงบการเงินที่ผู้ลงทุนควรรู้จัก

         1.งบดุล เป็นงบการเงินที่แสดงฐานะทางการเงินของกิจการ ณ วันใดวันหนึ่ง งบดุลจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับทรัพยากรของกิจการ(สินทรัพย์) และสิทธิเรียกร้องเหนือทรัพยากรเหล่านั้น(หนี้สินและส่วนของเจ้าของ)

         2.งบกำไรขาดทุน เป็นงบการเงินที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของกิจการสำหรับช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

         3.งบกระแสเงินสด เป็นงบการเงินที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายของกิจการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยจะแสดงแหล่งที่ใช้เงินสด เงินสดที่เพิ่มขึ้นลดลง กิจกรรมลงทุน ข้อมูลในงบกระแสเงินสดจะช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินสภาพคล่องของกิจการได้

         4.หมายเหตุประกอบงบการเงิน เป็นรายงานต่อท้ายงบการเงิน จะบอกข้อมูลเพิ่มเติมที่มีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์งบการเงิน ทำให้ทราบงบการเงินนั้นใช้นโยบายบัญชีและหลักเกณฑ์อย่างไรในการทำงบการเงิน

         5.รายงานของผู้สอบบัญชี ในการใช้งบการเงินของกิจการผู้ใช้งบการเงินควรอ่านรายงานของผู้สอบบัญชีให้แน่ใจว่าข้อมูลทางการเงินที่ใช้ในการตัดสินใจแสดงไว้ครบถ้วน ถูกต้อง





วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

งบการลงทุนในโครงการ


การพิจารณางบการลงทุนในโครงการ จะทำได้โดยการคำนวณ cash flow แล้วนำมาประเมินการตัดสิน เวลาจะคำนวณเรื่องงบประมาณจ่ายลงทุน จะต้องคำนวณต้นทุนของเงินทุนก่อนและคำนวณผลตอบแทนที่ต้องการก่อน โดยคำนวณ WACC ออกมาก่อนว่าต้นทุนของเงินทุนเป็นเท่าไร แล้วเอาเงินนี้ไปลงทุนเสร็จแล้วได้รับผลตอบแทนที่คาดหวัง (expected rate) เป็นเท่าไร ผลตอบแทนที่คาดหวังนี้น่าจะมากกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการคำนวณ WACC คือผลตอบแทนที่ได้สูงกว่าต้นทุนทางการเงินของเรา เราจึงยอมรับโครงการนั้น การคำนวณจะประกอบไปด้วยการทำ 3 ขั้นตอน

          1. Initial Investment Outlay เป็นการคำนวณเงินลงทุนเริ่มต้นโครงการ เช่น เงินลงทุนซื้อสินทรัพย์ถาวรที่เป็นอาคาร ที่ดิน อุปกรณ์หรือเครืองจักร และเงินลงทุนหมุนเวียนสุทธิ NWC--Net  Working Capital
          2. Operating Cash flow เป็นการคำนวณกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานตลอดอายุโครงการ โดยการคำนวณตามหลักบัญชี
          3. Terminal Year Cash flows เป็นขั้นตอนปิดอายุโครงการ จะมีอยู่ในปีสุดท้ายปีเดียว โดยการคำนวณมูลค่าซากของโครงการ แล้วบวกกลับด้วย NWC ที่หักไว้ตั้งแต่ต้นในปีเริ่มโครงการแล้วเอา cash flow 5 ปีที่ได้ไปคำนวณหาวิธีการประเมินโครงการว่าจะยอมรับโครงการนี้หรือไม่ โดยการคำนวณ

          PB--Payback Period เป็นการคำนวณระยะเวลาที่ธุรกิจลงทุนในสินทัพย์ถาวรแล้วได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นจำนวนกี่ปี จึงจะเท่ากับเงินลงทุนที่จ่ายเริ่มแรก (เป็นวิธีการคำนวณที่ง่าย แต่มีข้อเสีย คือ ไม่ได้คำนึงถึงว่าหลังจากระยะเวลาคืนทุนแล้ว โครงการนั้นจะมีเงินสดเท่าไร) ส่วนใหญ่จะไม่ได้ใช้

          NPV--Net Present Value คือมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เป็นวิธีการประเมินโครงการโดยพิจารณาผลต่างระหว่างกระแสเงินสดที่ได้มาตลอดอายุโครงการ เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันกับเงินลงทุนเมื่อเริ่มโครงการ

          NPV คือผลต่างของกระแสเงินสดที่ได้รับตลอดอายุโครงการ คือปีที่ 1 2 3 4 เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้วเอามาลบกับปีที่ 0 ที่เราลงทุนเมื่อเริ่มโครงการไป คือผลต่างของกระแสเงินสดที่ได้รับตลอดอายุโครงการเมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้ว กระแสเงินสดที่จ่ายเมื่อเริ่มต้นโครงการ โดยเราจะพิจารณายอมรับโครงการที่ NPV มีค่าเป็นบวกและปฏิเสธโครงการที่ NPV ที่มีค่าเป็นลบ

          ถ้าโครงการที่มีวัตถุประสงค์เหมือนกันจำเป็นจะต้องเลือกเพียงโครงการเดียว ให้พิจารณาโครงการที่ NPV ที่มีค่าเป็นบวกสูงที่สุด

          ถ้าโครงการที่มีวัตถุประสงค์ต่างกัน สามารถเลือกได้หลายโครงการ ให้พิจารณาโครงการที่ NPV มีค่าเป็นบวกทุกโครงการ แต่มีข้อแม้ว่าองค์กรจะต้องมีเงินลงทุนในแต่ละโครงการที่เพียงพอด้วย เช่น มี 10 โครงการที่ NPV มีค่าเป็นบวกแต่ต้องใช้เงินลงทุน 1000 ล้าน แต่มีเงินแค่ 100 ล้าน จะต้องหาโครงการที่เหมาะสมกับองค์กรใน 100 ล้านให้มากที่สุด

          IRR--Internal Rate of Return คือผลตอบแทนภายในเป็นการประเมินโครงการโดยการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทน ที่ทำให้กระแสเงินสดที่ได้รับในแต่ละปี ตลอดอายุโครงการเมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้ว เท่ากับเงินสดเมื่อเริ่มต้นโครงการ จะยอมรับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เหมือนกัน ให้เลือกโครงการที่มี IRR สูงที่สุด

          ถ้าเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ให้เลือกทุกโครงการที่ IRR มากกว่า WACC แต่ต้องมีเงินลงทุนเพียงพอด้วย

          MIRR--Modified Internal Rate of Return อัตราผลตอบแทนที่ปรับปรุงแล้ว เป็นวิธีการคำนวณเช่นเดียวกับ IRR คือการคำนวณดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่ทำให้กระแสเงินสดที่ได้รับตลอดอายุโครงการ เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้วเท่ากับเงินลงทุนเมื่อเริ่มโครงการ แต่กระแสเงินสดที่ได้รับในแต่ละปีนำไปลงทุนต่อ โดยได้รับผลตอบแทนเท่ากับ WACC

          MIRR จะมีอยู่ 2 ตัว ที่คิดเหมือนกัน คือจะหาอัตราผลตอบแทนที่ทำให้กระแสเงินสดที่ได้รับในแต่ละปี เท่ากับกระแสเงินสดที่ลงทุนเมื่อเริ่มโครงการแต่ว่ากระแสเงินสดที่ได้รับในแต่ละปี จะเอาไปลงทุนต่อ โดยได้รับผลตอบแทนเท่ากับ WACC เวลาจะตัดสินใจยอมรับโครงการให้เลือกโครงการที่ MIRR มีค่ามากกว่า WACC และมีค่าสูงสุด

          ถ้าเป็นโครงหารที่มีวัตถุประสงค์เหมือนกัน จะเลือกโครงการที่ MIRR มีค่าสูงสุดเพียงโครงการเดียว แต่ถ้าโครงการที่มีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน ให้เลือกทุกโครงการที่ MIRR มีค่ามากกว่า WACC
          ถ้ากรณีที่ NPV กับ IRR ขัดแย้งกัน เช่น โครงการ ก NPV มากกว่าโครงการ ข แต่ IRR ของโครงการ ข มากกว่าโครงการ ก
                                          โครงการ  ก                              โครงการ  ข

           NPV                            100                                         50

           IRR                               5%                                        8%

           MIRR                            9%                                      8.5%

           ถ้าดูแต่ NPV ถ้าเป็นโครงการที่วัตถุประสงค์อย่างเดียวกันกจะเลือกโครงการ ก เพราะมีค่า NPV มากกว่าโครงการ ข

           ถ้าดู IRR จะเลือกโครงการ ข เนื่องจากโครงการ ข มี IRR สูงกว่า WACC และสูงกว่าโครงการ ก

           ถ้าเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งแบบนี้ให้ดูที่ MIRR เป็นสำคัญแล้วตัดสินใจเลือกโครงการที่ MIRR สูงกว่า ก็จะเลือกโครงการนั้น ดังนั้นจะเลือกโครงการ ก

           ถ้าเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์ต่างกัน จะเลือกทั้ง 2 โครงการ

           ถ้าเป็นกรณีที่ไม่มีค่า MIRR มาให้ดูที่ NPV เป็นหลักแล้วตัดสินใจเลือกโครงการที่ NPV เป็นบวกมากที่สุด